ความหลากหลายทางชีวภาพ
ความหลากหลายทางชีวภาพ ( Biological Diversity ) หมายถึง การมีชนิดพันธุ์ของ
สิ่งมีชีวิตหลากหลายชนิดมาอยู่ร่วมกัน ณ สถานที่หนึ่งหรือระบบนิเวศใดระบบนิเวศหนึ่ง ซึ่งสามารถจัดแบ่งความหลากหลายทางชีวภาพ ได้เป็น3 ลักษณะ คือ | ||
1.ความหลากหลายของชนิดพันธุ์ ( species diversity ) หมายถึงความหลากหลาย
ของชนิดของสิ่งมีชีวิตที่มีอยู่ในพื้นที่หนึ่งๆนักชีววิทยาวัดความหลากหลายของชนิด พันธุ์ของสิ่งมีชีวิต โดยดูจาก 2 ลักษณะ คือ 1.1. ความมากชนิด (species richness) หมายถึง จำนวนชนิดของสิ่งมีชีวิตต่อ หน่วยเนื้อที่ เช่น ประเทศเมืองหนาวในพื้นที่หนึ่งๆมีต้นไม้อยู่ประมาณ 1 – 5 ชนิด ขณะที่ป่าในประเทศเขตร้อนในพื้นที่เท่ากันมีต้นไม้นับร้อยชนิด เป็นต้น | ||
1.2. ความสม่ำเสมอของชนิด (species eveness) หมายถึง สัดส่วนของสิ่งมีชีวิต
ในระบบนิเวศหนึ่ง ๆดังนั้นความหลากหลายทางชนิดพันธุ์จึงสามารถวัดได้จากจำนวน ของสิ่งมีชีวิตและจำนวนประชากรของสิ่งมีชีวิตแต่ละชนิดรวมถึงโครงสร้างของอายุ และเพศของประชากรด้วยความหลากหลายของชนิดพันธุ์จะแตกต่างกันไปตามพื้นที่ พื้นที่ที่อยู่ในเขตร้อน(tropics) และในทะเลลึกจะมีความหลากหลายของชนิดพันธุ์สูง และความหลากหลายของชนิดจะลดลงในพื้นที่ที่มีความผันแปรของอากาศสูง เช่น ในทะเลทรายหรือขั้วโลก หรืออาจกล่าวได้ว่าในบริเวณเขตร้อนในแถบละติจูดต่ำ (low lattitude) ใกล้เส้นศูนย์สูตรจะมีความหลากหลายของชนิดพันธุ์สูงและจะลดลง เมื่ออยู่ในแถบละติจูดสูง (high lattitude) | ||
2.ในระบบนิเวศหนึ่งๆ จะประกอบด้วยกลุ่มสิ่งมีชีวิตหลากหลายชนิด แม้ในสิ่งมีชีวิต
เดียวกันก็ยังมีความหลากหลายทางพันธุกรรมที่ทำให้เกิดสายพันธุ์ต่างๆ อันเป็นรากฐาน สำคัญที่เอื้ออำนวยให้สิ่งมีชีวิตสามารถดำรงชีวิตให้สอดคล้องกับสภาพการเปลี่ยนแปลง ของสิ่งแวดล้อมรอบๆตัวได้อย่างมีประสิทธิภาพ และสามารถดำรงเผ่าพันธุ์ได้สืบไป ความหลากหลายของพันธุกรรม ( genetic diversity ) หมายถึงความหลากหลายของ หน่วยพันธุกรรมหรือยีน(genes) ที่มีอยู่ในสิ่งมีชีวิตแต่ละชนิด สิ่งมีชีวิตชนิดเดียวกันอาจ มียีนแตกต่างกันไปตามสายพันธุ์เช่น ข้าวซึ่งมีสายพันธุ์มากมายหลายพันชนิด เป็นต้น | ||
ความแตกต่างผันแปรทางพันธุกรรมในแต่ละหน่วยชีวิตมีสาเหตุมาจากการเปลี่ยน
แปลงพันธุกรรม (mutation)อาจเกิดขึ้นในระดับยีน หรือในระดับโครโมโซมผสมผสาน กับการสืบพันธุ์แบบอาศัยเพศ ซึ่งเกิดขึ้นตามธรรมชาติได้น้อยมาก และเมื่อลักษณะดัง กล่าวถูกถ่ายทอดไปยังรุ่นลูก จะทำให้เกิดความหลากหลายทางพันธุกรรม เช่นแมว ที่มีลักษณะรูปร่างหลากหลายที่แตกต่างกัน เป็นต้น | ||
3.ความหลากหลายของระบบนิเวศ ( ecolosystem diversity ) หมายถึง สภาวะแวด
ล้อมที่เป็นแหล่งที่อยู่อาศัยของสิ่งมีชีวิตชนิดต่างๆรวมไปถึงสิ่งไม่มีชีวิตอื่น ๆ ซึ่งจัดเป็นปัจจัยทางกายภาพ ได้แก่ อุณหภูมิ ความชื้น ดิน น้ำเป็นต้นระบบนิเวศ แต่ละระบบเป็นแหล่งของถิ่นที่อยู่อาศัย(habitat)ของสิ่งมีชีวิตชนิดต่างๆซึ่งมีปัจจัยทาง กายภาพและชีวภาพที่เหมาะสมกับสิ่งมีชีวิตแต่ละชนิดในระบบนิเวศนั้นสิ่งมีชีวิตบาง ชนิดมีวิวัฒนาการมาในทิศทางที่สามารถปรับตัวให้อยู่ได้ในระบบนิเวศที่หลากหลาย แต่บางชนิดก็อยู่ได้เพียงระบบนิเวศที่มีภาวะเฉพาะเจาะจงเท่านั้นความหลากหลายของ ระบบนิเวศขึ้นอยู่กับชนิดและจำนวนประชากรของสิ่งมีชีวิตที่อาศัยอยู่ในระบบนิเวศ | ||
อาณาจักรของสิ่งมีชีวิต
อาณาจักรของสิ่งมีชีวิต แบ่งสิ่งมีชีวิตออกเป็น 5 อาณาจักรคือ | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1. อาณาจักรโมเนอรา (Kingdom Monera) 2. อาณาจักรโพรทิสตา (Kingdom Protista) 3. อาณาจักรฟังไจ (Kingdom Fungi) 4. อาณาจักรพืช (Kingdom Plantae) 5. อาณาจักรสัตว์ (Kingdom Animalia) อาณาจักรโมเนอรา (Kingdom Monera)
|
อาณาจักรฟังไจ (Kingdom Fungi)
อาณาจักรฟังไจ หมายถึงสิ่งมีชีวิตพวกเห็ดรา ตัวอย่างเช่น ราขนมปัง ยีสต์ ราเขียว ราดำ เห็ตต่าง ๆ มีบทบาทสำคัญในระบบนิเวศโดยทำหน้าที่เป็นผู้ย่อยสลายอินทรียสาร ทำให้มีการหมุนเวียนในระบบนิเวศ เห็ดราเป็นสิ่งชีวิตที่เซลล์มีนิวเคลียสหรือมีเยื่อหุ้มนิว เคลียสเรียกว่า ยูแคริโอต (eukaryote) อาจเป็นสิ่งมีชีวิตที่เซลล์เดียวหรือหลายเซลล์ ไม่มีคลอโรฟิลล์ สังเคราะห์อาหารเองไม่ได้กินอาหารโดยสร้าง น้ำย่อยแล้วปล่อยออกมา ย่อยสารอินทรีย์จนเป็นโมเลกุลเล็กและดูดเข้าเซลล์ (saprophyte) ได้แก่ เห็ดและราช นิดต่างๆ ลักษณะสำคัญของสิ่งมีชีวิตในอาณาจักฟังไจ -อาจมีเซลล์เดียวเช่น ยีสต์ แต่ส่วนใหญ่เป็นพวกหลายเซลล์ -พวกหลายเซลล์ ประกอบด้วยกลุ่มเซลล์ที่มีลักษณะเส้นใย เส้นใยแต่ละเส้นเรียกว่า ไฮฟา(Hypha)ไฮพามักรวมกันเป็นกระจุกเรียกว่าไมซีเลียม(mycelium)ไฮฟามี ไรซอยด์ช่วยยึดเห็ดราให้ติดแน่นกับที่และบางส่วนของไฮฟาทำหน้าที่สร้างสปอร์ | ||||||||
| ||||||||
1. โครงสร้างของเซลล์เป็นเซลล์แบบยูคาริโอต มีผนังเซลล์คล้ายพืช(มีองค์ ประกอบเป็นเซลลูโลส และไคทิน) แต่ไม่มีคลอโรฟิลล์ดังนั้นสร้างอาหารเองไม่ได้ดำ รงชีวิตแบบปรสิตหรือแบบภาวะมีการย่อยสลายหรือบางชนิดอยู่ร่วมกับสาหร่ายที่ต้อง พึ่งพา(ไลเคน) | ||||||||
| ||||||||
2. ส่วนใหญ่สืบพันธุ์โดยการสร้างสปอร์ สปอร์มีทั้งที่เกิดจากการสืบพันธุ์แบบ ไม่อาศัยเพศ และแบบอาศัยเพศ นอกจากนี้ยังมีการสืบพันธุ์แบบอื่นๆเช่นรา ขนมปัง สืบพันธุ์แบบอาศัยเพศโดยวิธี คอนจูเกชัน ยีสต์สืบพันธุ์แบบไม่อาศัยเพศโดยวิธีกา รแตกหน่อ |
อาณาจักรพืช (Kingdom Plantae)
พืชเป็นสิ่งมีชีวิตหลายเซลล์ เซลล์เป็นชนิดยูแคริโอต มีสารสีเพื่อการสังเคราะห์ด้วย แสงเรียกว่าคลอโรฟิลล์ ซึ่งมีหลายชนิด มีผนังเซลล์เป็นสาร เซลลูโลส สืบพันธุ์ทั้งแบบ อาศัยเพศและไม่อาศัยเพศ มีวัฏจักรชีวิตแบบสลับ (alternation of generation) การจำ แนกเป็นไฟลัมหรือดิวิชันใช้ลักษณะวัฏจักรชีวิตแบบสลับที่มีระยะแกมีโทไฟต์ (gemeto phyte) และสปอโรไฟต์ (sporophyte) การมีท่อลำเลียงอาหารและน้ำ มีรากและใบ และ มีดอก (fower) หรือไม่มีดอก แบ่งออกเป็นดิวิชัน ดังนี้ 1.ดิวิชันไบรโอไฟตา (Division Bryophyta) เป็นพืชขนาดเล็ก ไม่มีระบบท่อลำ เลียง มีระยะแกมีโทไฟต์เจริญเป็นอิสระนานกว่าระยะสปอโรไฟต์ ได้แก่ มอสส์ (moss) ลิเวอร์เวิร์ต (liverwort) และฮอร์นเวิร์ต (hornwort) | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
3.ดิวิชันไลโคไฟตา (Divison Lycophyta) พืชโบราณ มีใบและรากที่แท้จริง มีท่อลำเลียง ได้แก่ สกุลSelagilnella หรือตีนตุ๊กแก สกุล Lycopediun หรือหญ้ารังไก่ สามร้อยยอด | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
หญ้ารังไก่
| ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
4. ดิวิชันสฟีโนไฟตา (Division Sphenophyta) ลำต้นมีลักษณะเป็นข้อ ๆ มี รากและใบที่แท้จริง มีท่อลำเลียงที่แท้จริง ได้แก่สกุล Equisetum หรือหญ้าถอดปล้อง สนหางม้า | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
Equisetum หรือหญ้าถอดปล้อง
| ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
5.ดิวิชันเทอโรไฟตา (Division Pterophyta) เป็นพืช เริ่มมีท่อลำเลียงพัฒนาดี ขึ้น ไม่มีดอก ได้แก่เฟิร์น ผักแว่น จอกหูหนู แหนแดง ชายผ้าสีดา | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
ชายผ้าสีดา
| ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
6. ดิวิชันไพโนไฟตา (Division Pinophyta) เป็นพืชยืนต้น มีเนื้อไม้ มีท่อลำ
เลียงที่พัฒนาดีขึ้น มีรากและใบ มีเมล็ด แต่เมล็ดไม่มีส่วนหุ้มเมล็ด (คือ เปลือย [ghymn osperm]) แบ่งเป็นสามซับดิวิชัน (subdivision) คือซับดิวิชัน Cycadicae คือพืชพวก ปรง (Cycas | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
ปรง
| ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
ซับดิวิชัน Pinicae ได้แก่ แป๊ะก้วย สกุล Ginkgo และพืชพวกสน เช่น สนสองใบ(Pinus merkusii) สนสามใบ (Pinus Kesiya) ไซเพรสส์ (Cypress) เรดวูด (redwood) | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
แป๊ะก้วย
| ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
ซับดิวิชัน Gneticae ส่วนใหญ่เป็นไม้เลื้อยขนาดใหญ่ เช่น มะเมื่อย สกุล Gnetumและพืชในทะเลทรายแอฟริกา สกุล Welwitschia | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
มะเมื่อย
| ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
ดิวิชันแมกโนลิโอไฟตา (Division Magnoliophyta) คือพืชไม้ดอกที่มีท่อลำเลียง มีใบและราก มีเมล็ดที่มีรังไข่ห่อหุ้ม แบ่งเป็นพืชใบเลี้ยงเดี่ยว (monocots) และพืชใบ
เลี้ยงคู่ (dicots) หรือแบ่งเป็นสองชั้นคือ ชั้นแม็กโนลิออปซิดา (Class Magnoliopsida [dicots]) ได้แก่พืชใบเลี้ยงคู่ ชั้นลิลิออปซิดา (Class liliopsida [monocots]) ได้แก่พืชใบเลี้ยงเดี่ยว อาณาจักรสัตว์ (Kingdom Animalia)
|
จำนวนสิ่งมีชีวิตที่รู้จักกันในโลก
ลายท่านได้ทำการคาดคะเนจำนวนทั้งหมดที่มีในปัจจุบัน แต่ตัวเลขที่ได้มีความแตก ต่างกันเช่น Erwin (1983) คาดว่ามีสิ่งมีชีวิตประมาณ30 ล้านชนิด Wilson (1988) ประมาณว่า อยู่ในระหว่าง 5 -30 ล้านชนิดส่วน Mcneely และคณะ (1990)คาดว่ามีถึง ประมาณ 50 ล้านชนิด โดยในจำนวนนี้เป็นสิ่ง มีชีวิตที่ได้ถูกมนุษย์ค้นพบและตั้งชื่อ วิทยาศาสตร์แล้วประมาณ 1.7 ล้านชนิด โดยมากกว่าร้อยละ 50 เป็นสิ่งมีชีวิตที่พบในป่าเขตร้อน จำนวนของสิ่งมีชีวิตรวมทั้งไวรัสที่ได้รับการตั้งชื่อวิทยาศาสตร์แล้ว (Wilson, 1988) | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
จำนวนชนิดที่รู้จักกันในประเทศไทย จากการสำรวจความหลากหลายของชนิดพืชและสัตว์ของประเทศไทยพบว่า ประเทศไทย ซึ่งมีขนาดประมาณ 0.36เปอร์เซ็นต์ของพื้นที่บกของโลก ปรากฎว่าเป็น แหล่งที่มีความหลากหลายอยู่ในลำดับที่สูงมากแห่งหนึ่งของโลกโดยมีความหลากหลาย ของสัตว์มีกระดูก-สันหลังและพืชพวกที่มีท่อลำเลียงสูงตั้งแต่ 3.4 ถึง มากกว่า 9.3 เปอร์เซ็นต์ของที่มีในโลก จำนวนชนิดโดยประมาณและจำนวนเปอร์เซ็นต์ของสัตว์มีกระดูกสันหลัง และพืชพวกมีท่อลำเลียงที่พบแล้วของไทย เปรียบเทียบกับจำนวนที่พบแล้ว ของโลก | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
สภาพภูมิอากาศที่เหมาะสมต่อการอยู่รอด การเจริญเติบโต และการแพร่พันธุ์ของสิ่งมี ชีวิต หลายชนิดตลอดปีอย่างไรก็ตามสภาพภูมิอากาศมีความแตกต่างกันบ้างในภาคต่างๆ ขึ้นอยู่กับตำแหน่งที่ตั้งของภาคและความสูงต่ำของพื้นที่แต่โดยรวมแล้วสภาพภูมิอากาศ ของไทยจะไม่เปลี่ยนแปลงรุนแรงและรวดเร็วมากเหมือนในเขตอบอุ่นและเขตหนาวและ ประกอบกับมีสภาพภูมิประเทศที่แตกต่างกันในแต่ละภาค จึงทำให้เกิดความหลากหลายของ แหล่งที่อยู่อาศัย ตามธรรมชาติหลายประเภท เช่น มีประเภทของป่าธรรมชาติมากกว่า12ประเภท เป็นต้นอีกทั้งประเทศไทยมีอาณาเขตติดต่อทั้งทะเลและแผ่นดินใหญ่ จึงเป็นศูนย์กลางที่มีการ กระจายพันธุ์ของพืชและสัตว์เข้ามาจากพื้นที่ต่างๆ รอบด้าน จากเหตุผลดังกล่าวข้างต้นจึงทำให้ประเทศไทยเป็นแหล่งที่รวบรวมเอาความหลาก หลายทางชีวภาพไว้มากที่สุดแห่งหนึ่ง | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
ข้อมูลของกลุ่มสัตว์มีกระดูกสันหลังในประเทศไทย จำนวนชนิดโดยประมาณของสัตว์มีกระดูกสันหลังของไทยที่เปรียบเทียบกับของโลก | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
ใกล้เคียง
| ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
ข้อมูลของกลุ่มสัตว์ไม่มีกระดูกสันหลังในประเทศไทย(เรียบเรียงจาก ไพบูลย์ นัยเนตร, 2532 และการติดต่อส่วนบุคคล, 2543) สัตว์ไม่มีกระดูกสันหลัง เป็นกลุ่มของสัตว์ที่มีจำนวนมากที่สุดในโลก มีประมาณ 96% ของสัตว์โลกทั้งหมด ส่วนใหญ่เป็นพวกสัตว์ขาปล้อง 85% โดยแบ่งออกเป็น | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
สัตว์ไม่มีกระดูกสันหลังแบ่งออกเป็นไฟลัม(Phylum)ต่างๆทั้งหมดประมาณ 31-33 ไฟลัมซึ่งขึ้นอยู่กับนักสัตววิทยาแต่ละคนที่จะแบ่งให้ละเอียดออกไปซึ่งรวมทั้งการแบ่งชั้น (class)ของแต่ละไฟลัมเพิ่มจำนวนขึ้นด้วยเนื่องจากสัตว์ไม่มีกระดูกสันหลังเป็นกลุ่มสัตว์ที่มี จำนวนมาก และบางกลุ่มสามารถพบได้ทั่วไปทุกหนทุกแห่งทั้งในน้ำ บนดิน ใต้ดิน และใน อากาศนักวิทยาศาสตร์และนักวิชาการไทยที่ทำการศึกษาสัตว์ไม่มีกระดูกสันหลังใน ประเทศไทยมีจำนวนน้อยมาก และศึกษากันอยู่ในวงแคบๆเพียงไม่กี่กลุ่มของสัตว์พวกนี้ โดยเฉพาะจะทำการศึกษาเฉพาะกลุ่มที่มีคุณค่าทางเศรษฐกิจเกี่ยวกับการประมง และตลอดจนนำมาใช้เป็นอาหารของประชาชนและที่เกี่ยวข้องทางการแพทย์เท่านั้นที่จะ ศึกษาเพื่อเป็นพื้นฐานทางด้านการสอนและการวิจัยนั้นมีเป็นจำนวนน้อย เพราะไม่มีข้อ มูลและเอกสารในการศึกษาได้เพียงพอ ประกอบกับยังไม่มีการเก็บตัวอย่างสัตว์ครอบคลุม ทั่วประเทศ ปัจจุบันแม้จะมีหน่วยงานที่สนับสนุนให้ทำงานด้านนี้ แต่ก็ยังไม่เพียงพอ รัฐจำเป็นต้องสนับสนุนให้เต็มที่ จึงจะได้ข้อมูลเพื่อการใช้ประโยชน์ในอนาคตอันใกล้ ดังนั้นจากสาเหตุที่กล่าวมาข้างต้นนี้จึงทำให้ประเทศไทย | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
ในปัจจุบัน ยังไม่สามารถบอกได้ว่ามีจำนวนชนิด(species)ที่แน่นอนของพวกสัตว์ไม่มี กระดูกสันหลังเท่าใดที่พบในประเทศไทยนอกจากนั้นยังไม่สามารถบอกได้ว่าขณะนี้พบสัตว์ กลุ่มนี้แล้วกี่เปอร์เซ็นต์และยังไม่ได้พบอีกกี่เปอร์เซ็นต์เพราะการวิจัยเกี่ยวกับทางด้าน อนุกรมวิธานของสัตว์ไม่มีกระดูกสันหลัง มีนักวิชาการตามกรม กองต่างๆและอาจารย์ในมหา วิทยาลัยบางคนเท่านั้นที่ทำงานทางด้านนี้ และก็มีปัญหาตามมาดังที่กล่าวมาแล้วจึงทำ ให้งานทางด้านนี้ก้าวหน้าไปช้ามาก | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
จำนวนสัตว์ไม่มีกระดูกสันหลังบางกลุ่มโดยประมาณที่พบในประเทศไทย แบ่งออกได้ดังต่อไปนี้
| ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น